เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ ก.พ. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม วันนี้วันพระ เห็นไหม วันพระวันเจ้า มันเหมือนกับวันเสาร์อาทิตย์น่ะ คนเราทำงานตลอดไม่ได้ใช่ไหม แต่สากลเขาหยุดเสาร์อาทิตย์ แต่ถ้าเป็นศาสนาพุทธนะ เมื่อก่อนเขาหยุดวันโกน วันพระ หยุดวันโกน วันพระ เพื่ออะไรล่ะ? หยุดวันโกน วันพระ เพื่อให้เราได้หาอาหารใจ เราได้พักผ่อน เราได้ออกไปทำงานเราก็สดชื่น ใจน่ะมันล้านะ เหมือนเครื่องยนต์ ติดเครื่องยนต์ตั้งแต่เกิด มันไม่เคยดับ ดับไม่ได้เลย เวลานอนหลับก็ว่าดับเครื่องยนต์ก็ไม่ใช่ ถ้านั่งสมาธินะ นั่งสมาธิถ้าจิตมันสงบ นั่นน่ะดับเครื่อง ได้พักเครื่อง ถ้าเครื่องไม่ได้พักเลยนะ มันพังได้เป็นธรรมดา

ชีวิตเราเกิดมา เห็นไหม ลมหายใจไม่เคยขาดนะ ถ้าลมหายใจเข้าและลมหายใจออกขาดเมื่อไรนะ ชีวิตนี้สิ้นทันที.. คนเรานะ เวลาทำบาปทำกรรม “นี่นรกสวรรค์ไม่มี บาปกรรมไม่มี” บาปกรรมไม่มีเพราะอะไร เพราะลมหายใจนี้มันยังหนุนเราไว้นะ เพราะเราเกิดมา ถ้าขาดลมหายใจ ๕ นาทีนะ สมองตายทันที นี่เหมือนกัน ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกมันรักษาชีวิตนี้ไว้ กรรมดี-กรรมชั่วมันไปตามกำลังนะ

สายน้ำ เห็นไหม สายน้ำไหลลงต่ำเป็นธรรมดา เวลาตกจากหน้าผามันกระโจนเลย เวลาตกไปทางพื้นราบมันจะเอ่อขึ้นมาจนท่วมท้น นี่ก็เหมือนกัน กรรมดี-กรรมชั่วมันพาให้ใจนี่ไปตามกรรม “กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน” ความคิดของใจมันเกิดต่างๆ กัน

นี่วันพระวันเจ้า วันหยุด หยุดเพื่ออะไร? หยุดเพื่อให้เราได้พักเครื่อง ได้พักเครื่องในทางสมมุตินะ แต่ในทางพักเครื่องในตามความจริง ในศาสนา พักเครื่องคือทำจิตให้สงบ เวลานั่งสมาธิขึ้นมาน่ะ ดูสิ เวลาเด็กนักเรียนมันเรียนหนังสือ มันเรียนแล้วมันเครียดมาก มันอ่านหนังสือนี่มันเครียดมากเลย แล้วบอกว่าให้มันพัก ให้มันหยุดก่อน.. ขนาดอ่านยังไม่เข้าใจ หยุดได้อย่างไร ก็ต้องรีบอ่านเข้าไป เห็นไหม แต่ถ้าเขาตัดใจนะ ตัดใจว่าเขาพักไว้ก่อนแล้วทำใจให้สงบนะ แล้วไปอ่านใหม่ เห็นไหม อ่านใหม่นี่นะ มันเข้าใจเนื้อความ มันเข้าใจดีกว่าเราอ่านไปแล้วเราไม่รู้เรื่องสิ่งใดเลย มันเครียดไปหมด เห็นไหม ใจมันได้พักผ่อน แล้วออกไปมันทำงาน มันจะมีความสดชื่นของมัน

นี่วันพระในทางสมมุตินะ แต่ถ้าพระล่ะ พระอยู่ที่ไหน? พระเป็นผู้ประเสริฐใช่ไหม พระคือใจ “พุทโธ” ความรู้สึก ธาตุรู้ ความรู้นั้นคือพุทธะ เวลาอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปอุปัฏฐากร่างกายของท่าน แต่นี่มันธรรมและวินัย ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เป็นศาสดา เป็นผู้บอก ผู้กล่าว ผู้สอน เวลาเราอุปัฏฐากขึ้นมา ถ้าใจมันสงบได้ เห็นไหม ใจสงบได้ มันได้พักผ่อน

แต่ว่า “ความสงบๆ” มันพูดถึงเป็นนามธรรมเกินไป พอพูดถึงมันเป็นนามธรรมเกินไป “ศาสนาพุทธนี่เขียนเสือให้วัวกลัว ไม่มี ทุกอย่างไม่มีเลย” ทำไมทุกข์มันมีล่ะ เครียดมันมีล่ะ ทำไมมันทุกข์ขึ้นมาในหัวใจทำไมมันมี เห็นไหม เรามองสังคมไปสิ เราดูสัตว์เดรัจฉานนะ สัตว์เดรัจฉานมันยังมีดีมีชั่ว สัตว์บางตัวนิสัยดี บางตัวนี่ก้าวร้าวรังแกเขาไปหมดเลย เราเห็นสัตว์เรายังแยกสัตว์ แล้วยังแยกว่าสัตว์มันยังมีดีมีชั่วของมัน

แล้วดูมนุษย์สิ “มนุสสติรัจฉาโน” มนุษย์สัตว์.. มนุษย์เทวดา “มนุสสเทโว” เป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นเทวดา “สุคโต” ถ้าจิตมันสุคโต มันจะไปสุคโตนะ ถ้าจิตมันเศร้าหมอง จิตมันทุกข์ยาก มันจะไปไหนของมันล่ะ นี่เรารักษาใจเราที่นี่ สมบัติสำคัญมันอยู่ที่นี่นะ

ตำแหน่งหน้าที่การงานน่ะ เพราะมีเรา เราได้ แล้วเราจะไม่อยู่กับมันตลอดไปหรอก เราต้องเกษียณ เราต้องมีการเปลี่ยนแปลง หัวโขนน่ะมันมีไว้โดยสมมุติ หัวโขนนี่สมมุติ อำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน อำนาจวาสนามาจากไหน? มาจากการเสียสละ มาจากการทำทานบารมีของเรา ดูสิ ข้าราชการผู้ใหญ่บางคนจะมีบารมีมาก มีคนนับหน้าถือตามาก บางคนเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ไม่มีใครสนใจเลย เขาสาป เขาแช่ง ว่าเมื่อไรจะไปสักที

มนุสสติรัจฉาโน มนุสสเทโว แล้วมันมาจากไหน? มันมาจากพันธุกรรมทางจิต บุญกรรมเราฝึกฝน เราได้ฟังธรรม เราได้แก้ไขของเรา เห็นไหม มนุสสติรัจฉาโน มนุสสเทโว จากข้างนอก มนุสสติรัจฉาโน มนุสสเปโต มันเป็นอยู่ในหัวใจของเรานี่ เดี๋ยวคิดดี-คิดชั่วนี่ เดี๋ยวมันคิดไปตามธรรมชาติของมันตลอดเวลา กิเลสเป็นเรื่องธรรมดา กิเลสในหัวใจเรา ไม่ต้องไปมองใครนะ ธรรมะนี่มันสอนเรา

“โอปนยิโก.. เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม” มาดูหัวใจของเรานี่ มันคิดชั่ว มันคิดโดยธรรมชาติของมัน แล้วคิดดีล่ะ คิดดีไม่ใช่ธรรมชาติของมัน คิดดีเราต้องดัดแปลงมัน คิดดีต้องบังคับ คิดชั่วไม่ต้องบังคับนะ ปล่อยมันไหลไปเลย ความคิดปกติเลย คิดชั่วนี่สบายมาก ไหลไปเลยนะ

คิดดีสิ คิดดี “เราเสียเปรียบ เราเสียเปรียบเขาแล้ว เราไม่ทันโลกแล้ว” ว่ากันไปเรื่อย ใครจะไปทันน่ะ? ใครไปทันโลก? มหาบุรุษที่ไหนก็แล้วแต่ตายไปแล้วก็มาเกิดใหม่ มาเกิดใหม่นะ มาเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มาเกิดเป็นมนุษย์ มันก็ต่อท้ายนี่ สมบัติพัสถานเราใช้ไม่ได้

ดูสิ ดูเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่เป็นพระเวสสันดร ระลึกชาติได้หมดล่ะ สิ่งนี้ก็เหมือนกัน เราสร้างไว้ๆ เราบอกว่าเราจะทันโลก โลกมันวัฏฏะ มันหมุนเวียนน่ะ ใครทัน? มันเป็นวาระเป็นคราวของมัน วัฏฏะมันหมุนของมันไป เราเกิดในสภาคกรรม เกิดมาในสังคม เกิดในสภาคกรรม สังคมนั้นร่มเย็นเป็นสุข สมณะ ชี พราหมณ์ ได้ประพฤติปฏิบัติ สังคมนั้นไม่ร่มเย็นเป็นสุข สมณะ ชี พราหมณ์ จะปฏิบัติได้อย่างไร มานั่งหลับหูหลับตา โลกเขาเดือดร้อนอยู่ เราหลับหูหลับตาได้ไหม? หลับหูหลับตานี่เอาชนะใจของเราได้ก่อน

ในเวลาเกิดสังคมวิกฤตขึ้นมาต้องการคนกล้า ต้องการเป็นผู้ที่ฉลาด ต้องการเป็นผู้นำที่ดี เวลาสังคมปกติ ไม่ต้องหรอก สังคมอยู่กันได้ แต่วิกฤตขึ้นมาน่ะ ใครจะเป็นคนนำ? ใครจะยับยั้งสังคมนั้น? สังคมนั้นมันไปน่ะ ใครจะยับยั้งมัน? ถ้ายับยั้ง เอาอะไรไปยับยั้งมัน? ถ้าไม่มีสติ ไม่มีหลักของใจ

หลักของใจนี่มันไม่ตื่นเต้นไปกับเขานะ “อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก”

อยู่กับโลกนี่แหละ แต่โลกเป็นอย่างหนึ่ง โลกเหมือนเด็กเล่นขายของกัน โลกเป็นสมมุติไง เด็กมันเล่นขายของกัน เราเป็นผู้ใหญ่ใช่ไหม เราเป็นผู้ใหญ่ จิตเรามีจุดยืนใช่ไหม เราเห็นโลกมันเป็นอย่างนี้ ถ้าโลกเป็นอย่างนี้ จุดยืนของเราอยู่ที่ไหน? จุดยืนของเรามันอยู่ที่สติปัญญาของเรานี่

ร่างกายเหมือนกันนะ คนเหมือนคน แต่คนไม่เหมือนกัน “คนเหมือนคน” มนุษย์เหมือนกัน แต่หัวใจไม่เหมือนกันหรอก หัวใจ ดูสิ ลายนิ้วมือคนไม่เหมือนกัน การภาวนาก็เหมือนกัน เหมือนลายนิ้วมือเลย จะไม่มีเหมือนกันสักคนหนึ่ง จะเหมือนกันไม่ได้ เพราะจิตสร้างมาไม่เหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ที่จิตจะเหมือนกัน ที่ความรู้สึกคนจะเหมือนกัน...เป็นไปไม่ได้! สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เวลากระทำก็ต้องทำตามความข้อเท็จจริงของใจดวงนั้น นี่ไง สัจธรรม

สัจธรรม เห็นไหม มันอยู่ที่หัวใจของสัตว์โลก สัตว์โลกมันจะมีความศรัทธาแค่ไหน มีความเชื่อแค่ไหน ความเชื่อ-ความศรัทธาแก้กิเลสไม่ได้ แต่ไม่มีความเชื่อ-ความศรัทธา เริ่มต้นไม่ได้ การเกิดเป็นมนุษย์ นี่มนุษย์เป็นสมมุติ เกิดมาเป็นทุกข์ ทุกข์ก็ฆ่าตัวตาย มันฆ่าทุกข์ได้ไหม? การฆ่าตัวตาย ทำลายวัตถุแล้วมันหายทุกข์ไหม?

มันเป็นไปไม่ได้! มันเป็นไปไม่ได้เลย!

การฆ่ากิเลสต่างหาก การฆ่ากิเลสไม่ใช่การฆ่าตัวตาย การฆ่ากิเลสเพราะอะไร เพราะกิเลสตายไป ใจยังอยู่ ใจยังอยู่นะ เพราะกิเลสมันตายไป เห็นไหม นิพพานยังอยู่ เราเป็นคนรับรู้อยู่ เราเป็นคนวิมุตติสุข เราเสวยอยู่ มันจะฆ่าตัวตายไปที่ไหน? มันฆ่ากิเลสตาย การฆ่ากิเลสตาย ฆ่าที่ไหนล่ะ? พอฆ่าที่ไหน จิตยังไม่สงบเข้ามา ยังไม่รู้จักความสงบน่ะ

ความรู้สึก ความคิด ความศรัทธา ความเชื่อ ความเชื่อมันเป็นทรัพย์ของมนุษย์ ถ้ามนุษย์ อริยทรัพย์ของมนุษย์ มีความเชื่อ มีความสนใจ มันลากเรามานั่งกันอยู่นี่ ที่มาอยู่นี่เพราะอะไร ถ้าไม่ศรัทธาจะมาได้ไหม ไม่มีความคิดใครจะลากเรามานั่งนี่ได้ไหม แต่ศรัทธามันลากมาแล้วเราก็กลับไป ลากมาแล้ว พอมันลากมา ลากมาฟังธรรม ฟังธรรมสะเทือนใจชั่วคราว ชั่วคราวก็กลับไปจมอยู่กับอดีต จมกับความคิดอยู่อย่างเดิม

ศรัทธา-ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ ที่จะแก้กิเลสได้คือสัจธรรม คือมรรคญาณ คือความรู้จริงขึ้นมาจากหัวใจของเรา ถ้าความรู้จริงขึ้นมาจากหัวใจของเรา ค้นคว้าเราให้เจอก่อน ถ้าค้นคว้าเราให้เจอ จิตสงบเข้ามา...นี่ไง! คือตัวเรา

นาย ก. นาย ข. นี่มันเป็นชื่อในทะเบียนบ้าน ถ้าเป็นธรรมชาติ มันไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ความรู้สึกมันมีชื่อไหม? ความรู้สึกมันมีชื่อเรียกแตกต่างกันไหม ความรู้สึกคือความรู้สึก แต่มันแตกต่างกันด้วยอำนาจวาสนาบารมี มันแตกต่างกันด้วยจริตนิสัย มันแตกต่างกัน พอมันแตกต่างกันมรรคญาณของใครก็ของมัน เห็นไหม ของใครของมัน

เวลาตั้งปัญญาขึ้นมา ตั้งปัญญา ปัญญามาจากไหน? ปัญญาจากกิเลส ปัญญาที่เราใช้กันอยู่ มันวิชาชีพ อาชีพของเราเกิดมาจากความคิด เห็นไหม ดูสิ ดูนักวิทยาศาสตร์ทุกอย่างเกิดมาจากไหน? ปัญญาเกิดมาจากไหน? ปัญญาของเขานี่โลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากความคิด แล้วโลกุตตรปัญญาล่ะ ปัญญาที่ฆ่ากิเลส มันเอาปัญญาอะไรแก้กิเลส? ปัญญา เห็นไหม ปัญญาทางโลกมันเป็นปัญญาทางทฤษฎี ปัญญาทางวิทยาศาสตร์ คำว่า “วิทยาศาสตร์” วิทยาศาสตร์คือทฤษฎี คือต้องคิดให้อยู่ในกรอบอย่างนั้น

แต่ถ้าเป็นธรรมะล่ะ ธรรมะเพราะกิเลสมันอยู่นอกกรอบ กิเลสอยู่นอกกรอบแล้วเอาปัญญาในกรอบไปฆ่ามันน่ะ มันหัวเราะเยาะด้วยนะ มันจูงจมูกไปเลย จูงจมูกตามมันไป ตามต้อยๆๆ เลย พอถึงที่สุดแล้วไม่เห็นมีอะไรเลย.. ไม่มีอะไรเลยเพราะภาวนาไม่เป็นไง

แต่ถ้าภาวนาเป็นนะ มันเห็น มันจับต้องได้ ดูสิ เชื้อโรค เราเป็นไข้ เราเป็นโรคอะไร เราจะเอายาอะไรไปแก้โรคนั้น.. จิตของเรานี่มันติดในเรื่องอะไร นี่บ้า ๕๐๐ จำพวก จิตนี้มันบ้าหมด เห็นไหม มันบ้าเข้าโรงพยาบาล โรงพยาบาลบ้าเข้าไปนี่หมอเขาต้องรักษานะ แต่ของเรานี่หมอคือสติปัญญาของเราเอง จะไม่มีใครแก้ไขเราได้เลย หมอทางโลกนะ เขาฉีดยาเข้าไป เขาใช้สารเคมีต่างๆ เขาใช้จิตวิทยาของเขา แต่ของเรานี่ใครจะใช้จิตวิทยาของเรา มันอยู่ในหัวใจของเรา พูดแค่ไหนนะ ก็เข้าหูขวาทะลุหูซ้าย มันไม่ฟังหรอก มันฟังไปเฉยๆ แต่ใจมันไม่รับผิดชอบ มันผลักทิ้งหมดน่ะ

แต่ถ้าเข้าไปถึงตัวมัน มันจนตรอกกับอำนาจของสมาธิ อำนาจของธรรม มันจะไปไหน จิตเราจะไปไหน.. ขยำมัน! ทำลายมัน! ยิ่งทำลาย ยิ่งใส ยิ่งสะอาด ถ้าไม่ได้ทำลายมันเลย ความทุกข์มันจะหลุดไปได้อย่างไร? ความทุกข์ในหัวใจนี่มันจะหลุดออกไปจากใจได้อย่างไร ถ้าความทุกข์ในหัวใจมันจะหลุดออกไปจากใจ มันต้องมีเหตุมีผลสิ เหตุผลมาจากไหน ถ้าคนไม่เคยกระทำ เหตุผลมันมาจากไหน

มันเป็นนิทานน่ะ เราเล่าๆ กันมา.. เราเล่าๆ กันมานะ สืบทอดกันมา เล่ากันมา แล้วเราก็เชื่อตามกันไป เชื่อตามกันไป นี่ไงศรัทธาความเชื่อ! ศรัทธาความเชื่อเพราะมันมีตัวอย่างผู้ที่กระทำให้เราเห็น ผู้ที่กระทำให้เราเห็น... ชีวิตทั้งชีวิตนะ แผ่นดินยังไม่กลบหน้า อย่าเพิ่งเชื่อว่าคนนั้นเป็นคนดีนะ มันจะมีวันใดวันหนึ่งที่เขาแสดงฤทธิ์เดชของเขาออกมา แต่ถ้าแผ่นดินกลบหน้านะ คนนั้นถึงเป็นคนดีได้ ถ้าเขาทำความดีมาจริง

แต่ถ้าธรรมมันกลบหน้ากิเลสนะ มันเป็นกุศล-อกุศล จิตที่เป็นกุศล-จิตที่เป็นธรรมจะคิดเรื่องอกุศลไม่ได้ อกุศลไม่ได้เพราะอะไร เพราะขณะที่จิตมันเสวยอารมณ์มันเป็นอัตโนมัติ เวลาเราสร้างสติกันน่ะ สติขึ้นมา เดี๋ยวก็เกิดขึ้นมา เดี๋ยวก็ดับ.. สติขึ้นมา เดี๋ยวก็จางไป สติ ทำไมเราพลั้งเผลอสติ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” ความประมาทเลินเล่อ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนไว้เลย แล้วเราปฏิบัติกันนะ เดินอย่างกับซากศพ เดินไปเดินมาเหม่อลอย “นักปฏิบัติๆ” สติมึงอยู่ไหน? สติมึงอยู่ไหน? สติสัมปชัญญะน่ะ ถ้ามันรู้อยู่นี่ การขับเคลื่อนไป การเดินไป การตั้งสติ มันรู้ไปหมดน่ะ แล้วมันอยู่ที่ความชำนาญนะ

ดูสิ เวลาเราทำกัน ไม่ใช่คนป่วย ไม่ใช่อ้อยสร้อย.. ทำด้วยความกระฉับกระเฉง แต่! แต่ต้องมีสตินะ เพราะมันไม่ผิดพลาด ถ้าความกระฉับกระเฉง ความพึ่บพั่บ ความสุขเอาเผากินน่ะ โอ้.. ทำองอาจกล้าหาญ ล้มลุกคลุกคลาน...อย่าทำ! ไร้ประโยชน์ ไร้สาระ จะองอาจกล้าหาญ จะเข้มแข็งก็ต้องมีสติ นี่เขาฝึกสติกันไง เหมือนกับคนป่วยเลย อ้อยสร้อยๆ อย่างนั้นน่ะ มารยาทสังคมๆ นั่นกิเลสมันยิ้มเลย มันขี่หัวอยู่นั่นน่ะ มันต้องมีการกระฉับกระเฉงเพื่อสร้างสติ เพื่อการฝึกฝนของเราขึ้นมา

ก็บอก “มันเป็นเรื่องลำบากอีกแล้วมันยุ่งมันยาก มันลำบาก”

“เกิด” ลำบากไหม? นั่งอยู่ในครรภ์น่ะ ๙ เดือน ลำบากไหม? จะต้องไปขดอยู่ในครรภ์อีก ๙ เดือนไหม? ลำบากไหม? ทำไมไม่พูดว่าลำบาก

เวลาจะฝึกฝนขึ้นมาบอก “ลำบาก” เวลาอยู่ในท้อง ๙ เดือน มันอยู่ได้สบายเลย เพราะมันไม่รู้สึกตัวของมัน แล้วพอจะกระทำความดีขึ้นมาก็ “ลำบากๆๆๆ” แล้วก็อยากได้มรรคผลนะ อยากได้คุณงามความดีนะ แต่ไม่มีการลงทุนเลย ไม่มีการกระทำเลย มันเป็นไปไม่ได้

มันไม่เหมือนวัตถุหรอก วัตถุน่ะเราสั่งซื้อที่ไหนก็ได้ มีตังค์สั่งซื้อได้หมดน่ะ เอาตังค์มาซื้อนิพพานให้ดูหน่อยสิ ซื้อสติมาก็ได้ ปัญญาน่ะซื้อมันมา ไม่มีทางเลย

ลูกเรา อยากให้เป็นคนดีหมดน่ะ แต่มันจะดี-ไม่ดีขึ้นมาอยู่ที่การฝึกฝนนะ เราให้วิชาการกับมัน เราฝึกฝนมันให้มันเข้าใจเรื่องชีวิต ให้มันยืนในสังคมนี้ขึ้นมาได้ นั้นน่ะปัญญาทางโลก สติ! จะเป็นปัญญาทางธรรมขึ้นมา มันต้องมีสติของมัน มันจะยืนตัวของมันขึ้นมา มันยืนตัวขึ้นมาแล้ว อาจารย์โกหกก็รู้ว่าอาจารย์โกหกนะ เพราะจิตเราเป็นแล้ว อาจารย์พูดคนละเรื่องน่ะ มันจับได้หมดน่ะ อาจารย์องค์นี้โง่ งี่เง่า โกหกอีกต่างหาก

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันอันเดียวกัน มันต่างกันไม่ได้หรอก ความรู้สึกน่ะค่ามันต่างกันได้อย่างไร ค่าของธรรมะมันต่างกันได้อย่างไร มันเหมือนกันทั้งนั้นน่ะ แต่วิธีการ จริตนิสัยคนมันต่างกัน คนต่างกัน อาจารย์เป็นก็ต้องแก้ได้ ถ้าอาจารย์เป็นนะ จริตนิสัยน่ะ เราเป็นผู้ใหญ่ เห็นเด็กมา เราเข้าใจกิริยาเด็กมันต้องการอะไร เห็นไหม เวลาเด็กขึ้นมามันพูดไม่เป็น แต่มันหิวกระหาย มันหิวน้ำมาก มันมานี่ เราให้น้ำมันดื่ม มันจะดีใจมากเลย

ใจก็เหมือนกัน ใจนี่ถ้ามันหิวกระหาย มันทุกข์ยากมา เราพูดธรรมะไป ถ้ามันเข้าถึงหัวใจนะ มันสะเทือนหัวใจมาก ยิ่งสะเทือนหัวใจขนาดไหน สะเทือนหัวใจเรา เขย่าใจ เขย่าให้มันตื่นตัวขึ้นมา เขย่าให้ชีวิตนี้มีคุณค่าขึ้นมา อย่าปล่อยให้มันไหลไปตามโลก! วัตถุข้าวของน่ะมันเป็นอย่างนี้ โลกนี้มันหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันจบหรอก มันจะหมุนอยู่อย่างนี้ แล้วมันถึงที่สุดแล้วมันจะปรับสภาพของมันไป มันเป็นอยู่อย่างนี้เพราะโลกนี้เป็นอจินไตย โลกเป็นอจินไตยนะ แล้วจิตเรานี่มันก็เป็นอจินไตย มันก็หมุนเวียนไปกับโลกนี่

แต่ถ้าเมื่อไรธรรมะมาชำระมันสะอาดแล้วมันพ้นจากวัฏฏะ พ้นหมด วัฏฏะ-วิวัฏฏะนะ ทำได้จริงๆ ถ้าเราทำจริง ทำจริงนะ ทำจริง! มีสติสัมปชัญญะ ต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง แล้วทำน่ะ นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ เวลาครูบาอาจารย์บรรลุธรรมโดยชอบ

แต่ถ้าบรรลุธรรมโดยกิเลสนะ ภาพข้างนอกมันสวยงามมาก มันว่ามันบรรลุธรรม แต่กิเลสมันสุมอยู่ในหัวนะ ไอ้พวกนี้มันพวกงี่เง่า แล้วสิบแปดมงกุฎมันจะหลอกเอาแต่ทรัพย์สินเงินทอง ธรรมะมีคุณค่าเท่ากับแบงก์ เท่ากับเศษกระดาษเหรอ?

“เศษกระดาษ” กับ “คุณธรรมในหัวใจ” อะไรมีคุณค่ามากกว่ากัน?

แล้วจะเอาธรรมะ เอาคุณธรรมมาแลกกับเศษกระดาษ มันมีคุณค่าไหม แล้วอย่างนั้นจะเป็นธรรมได้อย่างไร “ธรรมะเหนือโลก ธรรมะเหนือทุกอย่าง” มันต้องมีคุณค่า หัวใจมันพ้นไป มันมีค่ากว่าวัตถุทุกๆ ชนิด ถ้าไม่มีค่ากว่าวัตถุทุกๆ ชนิด มันจะพ้นจากวัตถุนั้นไปได้อย่างไร? มันจะพ้นจากรสของกาม รสของต่างๆ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง แล้วมันชนะอย่างไร ถ้ามันไม่มีรสที่ดูดดื่มกว่า ดีกว่า มันชนะได้อย่างไร?

มันชนะใจนี้แล้ว เห็นไหม ถ้าใจนี้มันชนะแล้วมันก็เป็นธรรมขึ้นมานี่

วันพระ ไปวัดไปวาไปวัดหัวใจ ไม่ใช่ไปวัดไปวาไปนอนตีแปลงนะ ไปวัดก็เอาเครื่องนอนไปเต็มเลยนะ ไปจำศีลไง ไปนอนวัด เสร็จแล้วเช้าก็กลับไง.. เขาไปวัด! เขาไปวัดใจนะ เรามีสติขึ้นมาไหม มีสมาธิขึ้นมาไหม หัวใจเราผ่องแผ้วไหม หัวใจมันทุกข์ยากมาจากบ้านน่ะ แล้วมาอยู่วัดนี่ ดูสิ ทำไมพระท่านฉันมื้อเดียว ท่านอดอาหาร ทำไมท่านอยู่ของท่านได้ ทำไมท่านพอประทังชีวิตได้ เรามันตีโพยตีพายนะ จะต้องหาสมบัติ จะต้องทุกข์ต้องร้อน จะเอาแบงก์ผูกคอไว้ไง ให้มันมีความสุข แล้วมันมีความสุขไหม? ไม่สุขหรอก! เป็นไปไม่ได้หรอก!

มาวัด! มาวัดใจ ไม่ใช่มาวัดเฉยๆ มาวัด! มาวัดความรู้สึก มาวัดความเห็นของเรา ให้ความเห็นของเราดีขึ้น พัฒนาขึ้น นี้คือไปวัด เอวัง